โค้งสุดท้าย! ไทยลีก 2018 บุรีรัมย์ จ่อแชมป์เต็มที แม้ทางทฤษีจะพอเป็นไปได้ แต่ทางปฎิบัติถือว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ต่างจากการเข็นครกขึ้นภูเขาเลยทีเดียว เพราะดูท่าว่าน่าจะค่อนข้างแน่และมีเปอร์เซ็นต์สูงกว่าใครที่โฉมหน้าแชมป์ฟุตบอล โตโยต้า ไทยลีก 2018 จะชื่อ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เนื่องจากสถานการณ์ตอนนี้หลังจากผ่านไป 24 นัด ยอดทีมจากแดนอีสานทำคะแนนนำ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ห่าง 9 คะแนน ดูจากคะแนนกันตรงนี้ กับเส้นทางการแข่งขันที่เหลือ 10 นัด จากทั้งหมดเตะ 34 นัด ก็ต้องบอกว่าแม้จะพอมีโอกาสในการที่ทั้งสองทีมจะเบียดลุ้นแชมป์กันในแง่ของทฤษฎี แต่เมื่อมองถึงในแงปฎิบัติอย่างที่เกริ่นไว้บรรทัดแรก ต้องบอกว่าเหนื่อยจริงๆ สำหรับทีมแบงค็อก เจ้าของฉายาแข้งเทพ ที่ฟอร์มสะดดุทำแต้มหล่นหายไปอย่างน่าเสียดายในช่วงหลัง ทั้งที่ขับเคี่ยวกับ บุรีรัมย์ อย่างสนุกสูสี จนพีกสุดๆ การก้าวขึ้นไปแซงรั้งตำแหน่งจ่าฝูง ก็เคยก้าวไปถึงจุดนั้นมาแล้ว แต่ด้วยความไม่สม่ำเสมอของฟอร์มที่มักเป็นจุดสลบของแบงค็อก มาตลอดในช่วงการแข่งขันไทยลีก แม้ว่าไปการคุมทีมของ มาโน โพลกิ้ง ให้กับแบงค็อก ภาพรวมจะถือว่าโอเคเลย แต่ที่ขาดไปก็คือความนิ่ง ความแน่นอน ในผลการแข่งขันที่เวลาจะเน้น ผลคะแนนที่ต้องการไม่มักมาตามนัด เรียกว่าเวลาเข้าฝัก เข้าฟอร์มก็ชนะคู่แข่งแบบสบายๆ แต่เวลาจะตื้อตันก็ดันช็อตไปเฉยๆ ทว่าก็ยังโชคดีที่ฟอร์มช่วงหลังเริ่มกลับมาชนะได้บ้าง ทำให้ทีมยังพอมีลุ้นเล็กๆ กับประตูแห่งคำว่าโอกาสที่ยังไม่ปิดไปเสียทีเดียว ขณะที่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ฟอร์มก็ต้องบอกว่าชัดเจนตามแนวทางการเล่นพวกเค้าที่ดุดัน แน่นอน ตามเป้าหมายที่วางไว้คือคำเดียว คำว่าแชมป์เท่านั้น ซึ่งสิ่งที่เขียนไปก็เป็นไปตามนั้น เพราะจากฟอร์มของ บุรีรัมย์ แต่ละนัด ต้องบอกว่าร้อนแรง ครเครื่องทั้งเกมรุก และเกมรับ โดยเฉพาะแนวหน้าที่ดูเหมือนว่าจะเริ่มลงตัวขึ้นเรื่อยๆ ทั้ง ออสวัลโด้ ดาวเตะตัวรุกดีกรีชุดใหญ่ทีมชาติบราซิล ที่ซื้อเข้ามาใหม่ ก็เริ่มปรับตัวได้ดีขึ้น แม้จะไม่ค่อยยิงแต่ ออสวัลโด้ ก็มีจังหวะโชว์คลาสฟุตบอลเห็นในเรื่องการจ่ายบอลให้เพื่อนทำประตูสุดเฉียบขาด ส่วนอีกคนที่ถือเป็นกำลังหลักสำคัญที่พูดได้เลยว่า บุรีรัมย์ ขาดไม่ได้ เพราะมีส่วนสำคัญต่อแนวรุกการพังประตูของ บุรีรัมย์ อย่างแท้จริง นั่นคือ ดิโอโก้ หลุยส์ ซานโต ล่าสุดผ่าน 24 นัดซัดไปแล้ว 23 ประตู เรียกว่าหากคิดเฉลี่ยสถิติจำนวนนัดกับประตูก็ถือว่าประมาณเกือบเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ...
ไทยลีก 2018 (T1) กับประเด็นร้อนตกชั้นกี่ทีม? ไปๆมาๆดูเหมือนว่ากระแสเรื่องการปรับเปลี่ยนทีมตกชั้นจากเดิม5 ทีม ให้เหลือ3 ทีมในศึกฟุตบอล ไทยลีก (T1) จะถูกพูดถึงกันไม่น้อยเลยทีเดียว หลังจากมีประเด็นเสนอเรื่องหากมีการเพิ่ม 3 นักเตะโควต้าอาเซียนเข้ามาในไทยลีก (T1) ปีหน้า 2019 น่าจะต้องเล่น 18 ทีม ด้วยเหตุผลที่ผมมองว่าหากเพราะต้องตกชั้น 5 ทีม เกมการแข่งขันก็จะเหลือเพียงแค่ 16 ทีม ที่สู้กัน นั่นอาจทำให้เกมยิ่งน้อยก็อาจยิ่งส่งผลกระทบให้โอกาสนักเตะไทยลงสนามยากขึ้นไปอีก นั่นอาจจะเป็นความกังวลใจในบางสโมสรที่เกรงว่าโดนลูกหลงจากประเด็นนี้ อย่างไรก็ตามหากมองมุมนี้ก็ดูเหมือนว่าจะมองมุมเดียวมากไป และแม้หากมีการเปลี่ยนแปลงกฏให้ตกชั้นเพียง 3 ขึ้นมาจริงๆ ก็เชื่อว่ามีแววสมาคมฟุตบอล และไทยลีก มีหวังโดนแฟนบอลถล่มวิจารณ์หนาหูแน่ เนื่องจากกฏตกชั้น 5 ทีม เป็นกฏข้อตกลงก่อนเปิดฤดูกาลและมีมติเอกฉันท์จากสโมสรเสียงข้างมากที่เห็นด้วย จริงอยู่ในแง่ของการนำผู้เล่นโควต้าอาเซียนเพิ่มเข้ามาอาจจะทำให้นักเตะไทยได้รับผลกระทบบ้าง แต่มองแง่ดีก็น่าจะทำให้เกิดการแข่งขันได้ เพราะเอาจริงๆในมุมธุรกิจตอนนี้ฟุตบอลการขยายออกไปให้ต่างประเทศผ่านการถ่ายทอดสดไปยังชาติอาเซียนต่างๆ ก็น่าจะเป็นผลดีกว่าย่ำอยู่กับที่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นนักเตะที่ดึงเข้ามาต้องเป็นระดับแม่เหล็กซูเปอร์สตาร์ของชาติๆนั้น ที่มั่นใจว่าจะเข้ามายกระดับให้ไทยลีกเพิ่มความนิยมได้ มิใช่นำนักเตะอาเซียนคนไหนก็ได้เข้ามาหวังเพียงการตลาดหารายได้เข้าลีกและสโมสร ยิ่งตอนนี้ฟุตบอลไทยลีก แฟนบอลลดน้อยยอดคนดูถอยหาย จนน่าใจหาย ด้วยแล้วจึงเป็นเรื่องที่ต้องคิดและหารือกันให้ดีว่าระหว่างสโมสรว่าผลได้ผลเสีย เมื่อนำมาชั่งบนตวงวัดอันไหนจะดีเกิดประโยชน์กับลีกไทยมากกว่ากัน แต่ถ้าถามผม, ผมก็ยังมองว่าการเพิ่มโควต้าอาเวียนก็เป็นเรื่องดี ที่เชื่อว่าจะทำให้ไทยลีก ขยายตลาดได้แน่ๆ เนื่องจากเป็นแผนที่ทางสามคมฟุตบอลและไทยลีก ตั้งใจไว้อยู่แล้วที่จะขายลิขสิทธิ์ไทยลีกให้รับชมได้แบบถูกกฏหมายไปยังชาติอาเซียน เพื่อต่อยอดสร้างแบรนด์สร้างการรับรู้ลีกไทย ส่วนที่ผมไม่เห็นด้วยแน่ๆ ก็คือการปรับลดโควต้าตกชั้นจาก 5 ทีม ให้เหลือ 3 ทีม น่าจะเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะ เพราะกฏได้ถูกตั้งไว้แล้วจากการเห็นชอบของหลายสโสรลงคะแนนเสียงโหวต การจะมากลับลำปลี่ยนใจแบบนี้ดูจะไม่ใช่เรื่องแฟร์กับหลายๆทีม เท่าไหร่ อีกทั้งยังจะดูลดทอนความน่าเชื่อถือของทีมผู้บริหารชุดนี้ลงไปในตัว ทั้งๆที่ผมมองว่าทำดีมาตลอด ทั้งในแง่ความโปร่งใสการสรรหาโค้ชทีมชาติ และการสรรหาว่าจ้างผู้มาทำงานให้สมาคมฯก็มีการอัพเดตแจ้งให้แฟนบอลรับทราบผ่านสื่อออนไลน์แทบจะตลอด รวมถึงการประชาสัมพันธ์ไทยลีกทุกระดับ , ทีมชาติไทย การถ่ายทอดสด ทุกช่องทางออนไลน์ จากการสรรหาโปรแกรมมมากมายเพื่อให้แฟนบอลได้รับชม ซึ่งเป็นเรื่องน่าชื่นชมอย่างมาก และที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือคำว่า Fair จากนโยบายหาเสียง ที่สำหรับผมมองว่าสร้างความเชื่อมั่น ให้กับแฟนบอลไทยคนหนึ่งอย่างผมให้มั่นใจได้มากว่าฟุตบอลไทย กำลังเดินมาถูกทาง พร้อมกับความถูกต้องชัดเจน อนาคตความน่าเชือถืออยู่ในมือท่านเลือกได้จะทำลาย หรือรักษาไว้ครับ. อ่านบทความฟุตบอลอื่นๆได้เลยที่ https://bit.ly/2H4RWMH ...
เพิ่มโควต้าอาเซียน! ไทยลีก 2019 ประตูปิดโอกาสนักเตะไทย? เป็นประเด็นขึ้นมาที่สร้างกระแสฮือฮาพอสมควร หลังจากมีความเป็นไปได้ที่การแข่งขันฟุตบอล ไทยลีก 2019 ในระดับ T1 จะมีการเพิ่มนักเตะโควต้าอาเซียนเป็น 3 คน โดยมีเงื่อนไขว่าสโมสรจะส่งลงเล่นหรือไม่ได้ ซึ่งหากมาอีหรอบนี้จะทำให้โควต้าT1 ในปี 2019 จะเป็นสูตร 3+1+(3) แบ่งเป็น 3 นักเตะต่างชาติ 1 นักเตะเอเชีย และ (3) นักเตะโควต้าอาเซียน ซึ่งจะเปลี่ยนจากเดิมในปี 2018 ในโควต้าต่างชาติสูตร 3+1+(1) โดยแบ่งเป็น 3 นักเตะต่างชาติ 1 นักเตะเอเชีย และ (1) นักเตะโควต้าอาเซียน ส่วนสูตรในปี 2019 จะมีการให้ต่างชาติ, เอเชีย หรืออาเซียน ลงได้กี่คนยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่จากที่ทราบนักเตะไทยจะต้องลงสนามอย่างน้อย 4 คน ในชุด 11 คนแรก มองกันตรงนี้ก็มีทั้งข้อดีละข้อเสีย หากยึดตามเหตุผลที่ต้องการขยายตลาดฟุตบอลไทย ให้กระจายเป็นที่รู้จักมากขึ้นไปในแถบประเทศเพื่อนบ้านย่านอาเซียน ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี หากจะทำให้กระแสฟุตบอลนั้นดีขึ้น แต่กลับกันหากมองอีกแง่หนึ่งเรื่องของคุณภาพฝีเท้าของนักเตะอาเซียนที่จะนำเข้ามาก็ต้องพิถีพิถันในการคัดสรรเลือกหาด้วย เพราะเอาจริงๆในย่านอาเซียนฝีเท้านักเตะจากประเทศเพื่อนบ้านเราก็ถือว่าไม่หนีกันกับของไทยมาก จะมีบ้างที่จะเป็นซูเปอร์สตาร์ระดับ อ่อง ธู หัวหอกฟอร์มร้อนโปลิศ เทโร รวมถึง คยอ โค โค กองหน้าที่ย้ายมาเล่นให้ เชียงราย ยูไนเต็ด ซึ่งทั้งสองคนถือว่าเป็นนักเตะชื่อดังของเมียนมา ที่สร้างแรงกระเพื่อมให้ลีกไทยเป็นที่รู้จักขึ้นได้ แบบนี้หากจะซื้อ อยากจะยืมมาเล่นก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ไม่เพียงแต่จะทำให้ลีกไทย เป็นที่รู้จัก ยังช่วยให้นักเตะเยาวชนจากสโมสรไทย ได้เรียนรู้ การเล่นจากนักเตะท็อปอาเซียนได้อีกทาง นั่นหมายความว่าหากมองในแง่ดี นักเตะอาเซียนก็ควรจะเป็นนักเตะทีได้รับการยืนยันและการันตีผลงานการเล่นทีมชาติ หรือกับสโมสรจนผลงานเป็นที่น่ายอมรับในระดับหนึ่งแล้วค่อยพิจารณาดึงมาร่วมทัพก็น่าจะเข้าท่ากว่า ซึ่งก็เข้าใจว่าทางฝ่ายจัดก็น่าจะมีการพิจารณาเรื่องนี้แล้วเช่นกันในเรื่องคุณสมบัตินักเตะโควต้าอาเซียน แต่ถึงอย่างไรหากมองอีกมุมการเลือกที่จะเปิดโควต้าอาเซียน ก็อาจจะมีผลกระทบทำให้นักเตะมีโอกาสลดน้อยไปอีก แม้เบื้องต้นจะมีการแจ้งว่าโควต้าอาเซียน 3 คน จะส่งลงเล่นหรือไม่ก็ได้ แต่หากเป็นเรื่องจริงการซื้อนักเตะย่อมเป็นการลงทุนที่สโมสรก็คาดหวังที่จะใช้งานนักเตะที่ซื้อมาอยู่แล้ว คงไม่มีสโมสรไหนซื้อนักเตะมาเพื่อให้นั่งดูและหวังเพียงว่าจะเป็นการโปรโมทสโมสรเพื่อต่อยอดเรื่องค่าลิขสิทธิ์สินค้าต่างๆ จากสโมสรเช่นเสื้อ ผ้าพันคอ หรือของที่ระลึก แน่ๆ นั่นหมายความว่านักเตะไทย จากเดิมที่ลงสนามได้จะเหลือเพียง 4 คน ที่จะได้ออกสตาร์ทตัวจริง11 ...
ว่าที่! ดาวซัลไว โตโยต้า ไทยลีก 2018 คือใคร ไปๆมาๆหลังจบฟุตบอล โตโยต้า ไทยลีก 2018 นัดที่ 21 กลายเป็นว่าบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด (50 คะแนน) เป็นฝ่ายทำคะแนนทิ้งห่างคู่ปรับหมายเลข1 ยุคนี้ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด (46 คะแนน) ไปห่าง 4 คะแนน เรียบร้อย ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ช่วงสัปดาห์ไม่นานทั้งสองทีมยังผลัดกันนำ ผลัดกันตามในตารางคะแนนจ่าฝูงอยู่เลย ถามว่าห่างมั๊ยด้วยช่องว่า 4 คะแนน ตามทฤษฏีถือว่ายังไม่ห่างครับ แต่ทางปฎิบัติบอกเลยว่าเป็นเรื่องค่อนข้างยากมากทีเดียว อย่างที่ทราบกัน บุรีรัมย์ นั้นภาพรวมทีมถือว่าแกร่งทั่วแผ่น แน่นทุกขุมกำลัง ทั้งดาวรุ่ง ต่างชาติและแม้กระทั่งตัวเก๋า ก็ต่างสร้างผลงานได้ดี สม่ำเสมอและต่อเนื่อง บวกรวมกับความแน่นอนในจังหวะเข้าทำก็ยิ่งทำให้เห็นภาพชัดเจนว่า บุรีรัมย์ ดูดีกว่า และเมื่อภาพตัดกลับมาจึงกลายเป็นเรื่องตรงข้าม เนื่องจาก แบงค็อก แสดงให้เห็นชัดว่ายังไม่เด็ดขาดพอ กับจังหวะประตูที่ควรจะได้แต่ทำไม่ได้ แต่ตราบใดเส้นชัยยังเหลืออีกยาวไกล เพราะการแข่งขันตามโปรแกรมยังเหลืออีกหลายนัด ลูกกลมๆมีลมอยู่ข้างในอะไรย่อมเกิดขึ้นได้ หมายความว่าประตูสู่แชมป์ยังเปิดกว้างอยู่กับทั้งสองทีม ทั้งบุรีรัมย์ และแบงค็อก หรืออาจจะรวมถึง “ม้ามืด” การท่าเรือ ที่เกาะกลุ่มบนเหนียวแน่น ที่สำคัญคะแนนหากเหลือบมองไปที่ตารางก็ถือว่ายังมีลุ้นเช่นกัน ไม่เพียงเข้มข้นเร้าใจแค่ในลีก เพราะเมื่อขยับไปที่การขับเคี่ยวกันในกลุ่มดาวซัลโวก็ต้องบอกว่าแข่งขันไล่บี้สูสีสนุกไม่แพ้กัน เพราะหากนับเฉพาะผ่าน 21 นัด ณ ตอนนี้T1 มีผู้นำดาวซัลโวร่วมสองคนพร้อมกันแล้ว นั่นก็คือ ดิโอโก้ หลุยส์ ซานโต (บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด) 18 ประตู และ เฮแบร์ตี้ แฟร์นานเดส (เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด) 18 ประตู) ซึ่งจากฟอร์มหัวหอกเลือดแซมบ้าทั้งคู่ที่ผ่านมาก็ถือว่าไม่น่าแปลกใจรวมถึงศักยภาพทีมก็คงต้องยกให้สองคนนี้เป็นตัวเต็งกับว่าที่ดาวยิงสูงสุด เพราะน่าจะเป็นส่วนปัจจัยสำคัญจนพาทั้งสองคนยิงกระจุยกระจายกันขนาดนี้ แต่อย่างไรก็ดีในมุมมองผมก็ถือว่าปัจจัยทีมของสองกองหน้ารายนี้ค่อนข้างต่างกันพอสมควร โดยมองว่า ดิโอโก้ อยู่ในทีมที่ค่อนข้างสมบูรณ์กว่า หากเทียบกับ เฮแบร์ตี้ ที่ดูจะเป็นมิสเตอร์แบก มากกว่าฝ่ายแรก จากการที่ทีมเมืองทอง อยู่ในช่วงเปลี่ยนถ่ายและปรับจูนนักเตะ เพื่อมาเล่นและทดแทนนักเตะตัวหลักไล่ตั้งแต่โกล์/ หลัง/ กลาง/ ...